อยู่ไปก็ตายเปล่า
สารบัญ
พ่อบอกตำรวจว่าไม่รู้ว่าแม่หนีไปไหน และไม่ว่าพวกตำรวจตามสืบอย่างไร ก็หาไม่พบแม้แต่เงาของแม่
● ร่างในหลุม
ดึกคืนนี้ไม่มีนักตกปลาเหลืออยู่บนสะพานแล้ว จึงไม่มีใครเห็นตอนที่ร่างผอมเพรียวร่างหนึ่งร่วงละลิ่วจากกึ่งกลางสะพานลงสู่แม่น้ำกว้าง
● ถึงเวลาลงนรก
ธวัชชัยเห็นส่วนที่เป็นเท้าของเด็กสาว เท้าสองข้างไม่ได้เหยียบยืนอยู่บนพื้น ทว่ายืนอยู่บนเก้าอี้พลาสติกไม่มีพนักพิง
● วิดีโอคอลครั้งสุดท้าย
เนื้อตัวพ่อสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดแทบเป็นสีเดียวกับกระดาษสมุดที่เด็กชายใช้อยู่ทุกวัน พ่อพยายามพูดบางคำออกมา แต่เขาไม่สนใจ
● คืนที่พ่อถูกฆ่า
มือหนึ่งถือเสียม อีกมือหนึ่งหิ้วกระสอบ เด็กหนุ่มอดสังเกตไม่ได้ว่าร่างที่อยู่ในกระสอบเหมือนจะใหญ่กว่าหมาตัวที่ตายไปเมื่อวาน
● บ้านพักสุนัขจร
วัลภาพยายามโทรหาเขาแล้ว สองสามครั้งแรกเขากดตัดสายทิ้ง แล้วต่อมาก็ปิดเครื่องหนี ป่านนี้หญิงสาวคงกระวนกระวายใจแทบบ้าแล้ว
● หมาป่ากับหมาจิ้งจอก
คำนำสำนักพิมพ์
สำนักพิมพ์อินเทรนด์มีโอกาสจัดพิมพ์รวมเรื่องสั้นแนว “เขย่าขวัญ-หักมุม” ของ “อินทุ รุจิรา” ออกมาแล้ว 6 เล่มด้วยกัน
ไล่ตั้งแต่ “ข้ามศพไปก่อน”, “นอนตายตาหลับ”, “ตายตอนจบ”, “ศพไม่สวย” และเล่มล่าสุดซึ่งจัดพิมพ์ออกมาก่อนหน้านี้ไม่นานคือ “แค่ฆ่าไม่น่าตาย”
จนมาถึง “อยู่ไปก็ตายเปล่า” ในมือคุณผู้อ่านเล่มนี้ เราการันตีได้ว่าความสนุกสนานและหักมุมไม่ได้ลดน้อยลงไป หากแต่รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ ก็มีกลิ่นอายบางอย่างแตกต่างออกไปจากเล่มก่อน ๆ พอให้เราสัมผัสได้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
เรื่องเล่าของอินทุ รุจิราไม่ใช่เรื่องไกลตัว เหตุการณ์ในเรื่องสั้นแต่ละเรื่องสามารถเกิดขึ้นกับชีวิตใครก็ได้ รวมถึงตัวคุณผู้อ่านแต่ละคนเอง และนอกจากความสนุกสนานบันเทิงแล้ว รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ยังทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนสังคมไปพร้อม ๆ กันด้วยอีกทางหนึ่ง เรียกว่าหากตัดกลวิธีการจบแบบหักมุมออกไปแล้ว เรื่องสั้นเหล่านี้ก็แทบไม่ต่างจากเรื่องสร้างสรรค์สะท้อนสังคมแต่อย่างใดเลย
ในส่วนของการจัดพิมพ์รวมเรื่องสั้นแนวเขย่าขวัญ-หักมุมของอินทุ รุจิราออกมา การที่เราจัดพิมพ์หนังสือแนวเดียวกันนี้ออกมาได้ถึง 6 เล่มแล้ว (หากรวมหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวอีโรติก-หักมุมอีก 2 เล่มด้วย ก็รวมเป็น 8 เล่มเข้าไปแล้ว) บอกได้ว่ายังมีนักอ่านคอยตามสนับสนุนเราอยู่ไม่น้อย ช่วยให้เรายังพอไปต่อได้ หากพิมพ์ออกมาแล้วขายไม่ได้ ก็คงไม่อาจพิมพ์ต่อเนื่องมาได้จนถึงเล่มที่ 6
เราคงไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังเหลือบสายตามามองสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ซึ่งผลิตงานนอกกระแส ยังควักกระเป๋าสนับสนุนนักเขียนซึ่งนามปากกาไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงนักอ่าน
ฝันอันแสนสุขของคนทำหนังสือจึงยังดำเนินต่อไป และเราไม่อยากตื่นจากฝันนี้เลยจริง ๆ
คำนำผู้เขียน
ด้วยความที่งานเขียนแนวเขย่าขวัญ-หักมุมของผมมักมีคำโปรยสำหรับการโฆษณาทำนองว่าเป็นหนังสือแนวเดียวกับ “สรจักร” จึงไม่แปลกหากมีนักอ่านบางคนอ่านหนังสือของผมแล้วพูดว่ามีกลิ่นอายของพี่สรจักร หรือบอกว่าอ่านแล้วสนุกคล้ายงานของพี่สรจักร คำพูดพวกนี้ไม่มีอะไรติดค้างในใจผม ฟังแล้วรู้สึกยินดียิ่งด้วยซ้ำ
ทว่าในจำนวนนี้มีนักอ่านบางคน (ซึ่งไม่ได้ซื้อหนังสือของผมไปอ่านด้วยซ้ำ) พูดทำนองว่า ทำไมผมต้องเอางานของตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่สรจักร นั่นเป็นคำถามเล็ก ๆ ซึ่งคนถามอาจไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ทว่าเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจผมมานานพอสมควร จึงอยากอาศัยพื้นที่เล็ก ๆ ตรงนี้พูดถึงเรื่องนี้สักนิด
ก่อนอื่นเลย ผมไม่เคยเอางานของตัวเองไปเปรียบเทียบกับงานของพี่สรจักร พวกคำโปรยสำหรับการโฆษณา ก็ใช้แค่ว่าเป็นงานแนวเดียวกับสรจักร เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารกับนักอ่าน ส่วนคนที่บอกว่างานเขียนของผมมีจุดคล้ายจุดต่างจากงานของพี่สรจักรตรงไหนอย่างไร ก็มีแต่นักอ่านที่เข้ามาคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์ทั้งนั้น ไม่ใช่ผมเขียนถ้อยคำเหล่านั้นขึ้นเอง และผมก็คงไปบังคับให้ใครเขียนอย่างไรไม่ได้
ถ้าถามว่าทำไมผมจึงไม่เคยคิดจะเอางานของตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่สรจักร คำตอบก็ง่ายมาก…เพราะผมไม่มีทางเขียนงานแนวนี้สู้พี่สรจักรได้
เหตุผลที่สู้ไม่ได้มีอยู่ 2 ข้อหลัก ๆ ครับ
ข้อแรก พี่สรจักรมีฝีไม้ลายมือในการเขียนงานแนวเขย่าขวัญ-หักมุมเหนือกว่าผม เก่งกว่าทั้งการคิดพล็อตให้เฉียบคม และการเล่าเรื่องให้น่าติดตาม
อันที่จริงเหตุผลข้อแรกที่ว่าไป ก็มีน้ำหนักเพียงพอจนแทบไม่ต้องพูดถึงเหตุผลข้ออื่นแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ขอพูดถึงเหตุผลอีกข้อไว้ด้วย
อีกเหตุผลที่ผมไม่มีทางเขียนเรื่องสั้นเขย่าขวัญ-หักมุมสู้พี่สรจักรได้ ก็เพราะงานเขียนแนวนี้ไม่ใช่แนวหลักที่ผมเขียน
พี่สรจักรสร้างสรรค์งานในแนวทางเดียวกันมาตลอดชีวิต งานเขียนส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้นแนวเขย่าขวัญ-หักมุม มีนวนิยายเล่มหนึ่งก็อยู่ในแนวทางใกล้เคียงกัน รวมถึงหนังสือสารคดีอีกหลายเล่มล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมอะไรทำนองนั้น เมื่อลงลึกและทุ่มเทกับงานเขียนในแนวทางเดียวกัน บวกกับมีพรสวรรค์ด้านการเขียน จึงไม่แปลกนักที่งานเขียนของพี่สรจักรอยู่ในระดับขึ้นหิ้ง
ส่วนผม…ผมเขียนงานหลากหลายแนวนับไม่ถ้วนก็ว่าได้ งานแนวที่ผมรักที่สุด เขียนแล้วรู้สึกปลดปล่อยมีความสุขที่สุด คือเรื่องสั้น/นวนิยายสะท้อนสังคมหนัก ๆ ประเภทอ่านแล้วเครียด หรืออ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ส่วนงานแนวเขย่าขวัญ-หักมุม เป็นแค่อีกแนวที่ผมชอบ รู้สึกสนุกที่ได้เขียน และบางครั้งก็จำเป็นต้องบังคับให้ตัวเองเขียนเพื่อความอยู่รอด (ผมเป็นนักเขียนอาชีพ ไม่มีรายได้จากทางอื่น)
ผมเขียนงานแนวเขย่าขวัญ-หักมุมเพียงนาน ๆ ครั้งตามวาระโอกาส ไม่ได้ลงลึกทุ่มเทไปกับงานแนวนี้ เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่งานเขียนของผมจะเทียบเคียงกับงานเขียนของพี่สรจักรได้
อีกประเด็นที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ พี่สรจักรเป็นเหมือนครูของผม เป็นเหมือนต้นแบบตอนที่ผมเริ่มริลองเขียนเรื่องเล่าของตัวเองขึ้นมาบ้าง ช่วงที่พี่สรจักรโด่งดังจากการเขียนเรื่องสั้นลงในนิตยสาร ‘พลอยแกมเพชร’ เมื่อสักร่วม ๆ สามสิบปีก่อน ผมยังเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งเขียนหนังสือไม่เป็นด้วยซ้ำ
และตอนได้ทราบข่าวว่าพี่สรจักรเสียชีวิตในบ่อปลาหน้าบ้าน ผมรู้สึกสะเทือนใจและสลดเศร้าไม่น้อยไปกว่าแฟนนักอ่านคนไหนของท่าน
นั่นเพราะพี่สรจักรเป็นนักเขียนในดวงใจของผมเช่นกัน
ฉะนั้นถ้าคุณอ่านเรื่องสั้นแนวเขย่าขวัญ-หักมุมของผมแล้วกำลังนึกเปรียบเทียบกับงานเขียนของพี่สรจักร ขอความกรุณาอย่าทำเช่นนั้นเลย ผมไม่ได้เขียนงานแนวนี้ขึ้นมาเพราะต้องการแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับใคร ผมยังคงพยายามเขียนงานแนวนี้อยู่เพราะมองว่าหานักเขียนเขียนงานประเภทนี้ได้ยาก ผมเองก็อยากอ่านงานแนวเขย่าขวัญ-หักมุมที่สนุก ๆ เมื่อหาอ่านไม่ได้ ก็เลยเขียนขึ้นมาให้ตัวเองอ่าน และแบ่งปันให้นักอ่านได้ลองอ่านกันบ้างก็เท่านั้น
ขอแค่มีนักอ่านสักคนสองคนอ่านงานเขียนของผมแล้วรู้สึกว่า สนุกได้สักเศษเสี้ยวหนึ่งของงานพี่สรจักร ผมก็ภูมิใจมากแล้วครับ
ตัวอย่างหนังสือ