ตรรกะพังๆ ของชาวพุทธ
หนังสือธรรมะสมัยใหม่ เข้าใจง่าย อ่านสนุก อ่านแล้วตาสว่าง ผลงานเล่มใหม่ล่าสุดของ “ปัญญาวุโธ” ฆราวาสธรรมดาสามัญคนหนึ่งที่สนใจเรื่องการศึกษาปฏิบัติธรรมมานานกว่า 20 ปี เขียนหนังสือธรรมะเผยแพร่มาแล้ว 6 เล่ม ทุกเล่มล้วนเป็นหนังสือขายดี
“ตรรกะพังๆ ของชาวพุทธ” เป็นหนังสือที่จะตีแผ่วิธีคิดและความเชื่อบางอย่างของชาวพุทธ ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการคิดด้วยเหตุผล และผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้เขียนจะพาไปสำรวจชุดของความเชื่อหลากหลายที่หลายคนยึดถือ หรือเชื่อตามๆ กันมา แต่หากใช้หลักตรรกะและปัญญามาจับ อาจพบว่ามีช่องโหว่และไม่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีเจตนาเปลี่ยนแปลงความคิดหรือความเชื่อของใคร เพียงแต่ต้องการให้ชาวพุทธทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ลองฉุกใจคิดในประเด็นต่างๆ ที่เชื่อกันอยู่เท่านั้น
“ตรรกะพังๆ ของชาวพุทธ” ประกอบด้วยเนื้อหา 15 บท แต่ละบทเขียนในสไตล์เหมือนกับบทความที่เราเคยอ่านกันตามหน้านิตยสารหรือเว็บไซต์ต่างๆ จึงอ่านง่าย ไม่ใช้ศัพท์แสงที่เข้าใจยาก แม้แต่คนที่ไม่สนใจธรรมะก็อ่านได้โดยไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ
สารบัญ
● การเปล่งคำ “สาธุ” เป็นเรื่องดีงาม?
● พระพุทธรูปมีความเป็นปัจเจกเฉพาะตัว?
● มีขบวนการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา?
● เราต้องตอบโต้คนที่ลบหลู่ศาสนาพุทธ?
● ภาษาบาลีเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์?
● เรื่องของความเชื่อไม่มีโง่หรือฉลาด?
● เรานับถือทุกความเชื่อไปพร้อม ๆ กันได้
● พระที่ทำความดีก็คือพระดี?
● ไม่มีพระสงฆ์ศาสนาพุทธก็สูญสิ้น?
● ทำเดรัจฉานวิชาไม่ใช่เพื่อเลี้ยงชีพย่อมไม่ผิด?
● ควรแก้ไขศีลเพื่อไม่ให้จำนวนพระสงฆ์ลดน้อยลง?
● อย่าเพ่งโทษคนอื่นให้เพ่งโทษตนเอง?
● อยากได้พระดีก็มาบวชเสียเอง?
● สิ่งไหนพระพุทธเจ้าไม่ห้ามไว้ พระสงฆ์ย่อมทำได้?
● เขียนหนังสือธรรมะคือการเอาธรรมะมาหากิน?
คำนำสำนักพิมพ์
สำนักพิมพ์ของเราเชื่อว่า ผู้ที่ซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่าน ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือพระภิกษุ น่าจะซื้อไปเพราะความไม่เชื่อเป็นทุนเดิม คือไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผู้เขียนกำลังจะอธิบายในหนังสือเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ หรืออย่างน้อยก็คงเคลือบแคลงกังขาว่า ประเด็นที่ผู้เขียนนำเสนอจะมีความเป็นเหตุเป็นผลแค่ไหน หรือสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้ามากน้อยเพียงใด
สาเหตุที่เราเชื่อเช่นนั้นก็เพราะว่า หากเป็นคนที่เชื่ออะไรง่าย ๆ คงไม่คิดซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่าน แต่จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเคยเชื่อต่อไป โดยปฏิเสธสิ่งที่มีแนวโน้มจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองเชื่อเหล่านั้นจะอธิบายได้ด้วยหลักตรรกะหรือไม่ จะตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ไม่ใช่ประเด็น ไม่ว่าอย่างไรก็จะยังเลือกเชื่ออย่างนั้นต่อไปอยู่ดี
และอย่างที่ผู้เขียนเขียนไว้ในคำนำหน้าถัด ๆ ไปว่า ผู้เขียนไม่ได้บังคับให้ใครอ่านแล้วเชื่อตาม สำนักพิมพ์ของเราก็มองในมุมนั้นเช่นกัน เราไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงความเชื่อของใคร เพียงแต่ชวนให้มาลองสำรวจความคิดและความเชื่อในหัวตัวเองอีกรอบว่า เป็นความคิดที่มีเหตุผลสนับสนุนมากพอหรือเปล่า และตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หรือยัง
สำนักพิมพ์เราพยายามตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาหนังสือให้ตรงตามคำสอนในพระไตรปิฎกให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามหากมีผู้รู้บางท่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วพบว่ายังมีข้อผิดพลาด เรายินดีน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อจะได้ตรวจสอบและแก้ไขเนื้อหาหนังสือให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดในโอกาสการจัดพิมพ์ครั้งถัด ๆ ไป
คำนำผู้เขียน
ผู้เขียนเองเป็นคนหนึ่งที่เติบโตมาในสังคมพุทธแบบไทย ๆ ไม่ต่างไปจากชาวพุทธส่วนใหญ่ในประเทศนี้ เราอยู่ในประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธก็จริงอยู่ แต่ก็มีความเชื่อนอกศาสนามากมายเข้ามาปะปนจนแทบแยกกันไม่ออก เราเชื่อกันทั้งพุทธ ทั้งผี (ไสยศาสตร์) ทั้งพราหมณ์ (ฮินดู) รวมถึงความเชื่อแปลกประหลาดอีกมากมายซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้ว่ามีที่มาจากไหนกันแน่
เราถูกสอนให้กราบพระพุทธรูป ไหว้พระภิกษุสงฆ์ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแหล่ ไปทำบุญด้วยการเข้าวัด ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ บริจาคเงินให้วัด ยกมือประนมไหว้ท่วมหัวแล้วก็นึกในใจว่าตัวเองได้บุญได้กุศลแล้ว
พอเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ผู้เขียนก็เริ่มเกิดคำถามขึ้นมาในหัวตัวเองว่า ทำไมเราถูกสอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป ถูกสอนให้กราบกรานพระสงฆ์องค์เจ้า ถูกสอนให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่กลับไม่เคยถูกสอนให้ศึกษาพระไตรปิฎก ทั้งที่นั่นคือคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรงซึ่งเชื่อถือได้มากที่สุดเท่าที่เรามีอยู่
ผู้เขียนเริ่มลองอ่านพระไตรปิฎก (ฉบับภาษาไทย) นับแต่นั้นเรื่อยมา ซึ่งแน่นอนว่าการอ่านพระไตรปิฎกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีแต่สำนวนภาษาที่เราไม่คุ้นเคย เต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะที่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที บางคำศัพท์มีอธิบายไว้ในตัวพระไตรปิฎกเอง แต่บางคำศัพท์ก็ต้องค้นคว้าหาข้อมูลอยู่นานกว่าจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ชาวพุทธส่วนมากจะไม่อยากอ่านพระไตรปิฎก
ในห้วงเวลาใกล้เคียงกับที่เริ่มอ่านพระไตรปิฎก ผู้เขียนลองเริ่มต้นปฏิบัติกรรมฐานด้วยตัวเอง โดยศึกษาเอาจากตำรับตำราบ้าง ฟังพระสงฆ์บางรูปแนะนำบ้าง ซึ่งก็พบว่าช่วยพัฒนาจิตของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด แล้วยังทำให้เกิดปัญญามากขึ้น พอลองย้อนไปอ่านพระไตรปิฎกในส่วนที่ยังไม่เข้าใจนัก ก็เกิดความเข้าใจมากขึ้นกว่าเก่า
เมื่อผู้เขียนพอมองออกว่าธรรมที่แท้ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร คราวนี้เวลาหันไปมองชาวพุทธส่วนใหญ่ในสังคมไทยบ้านเรา จึงทำให้เห็นว่ายังมีความเชื่อและความเข้าใจผิด ๆ กันอยู่มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อตาม ๆ กันมาโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองว่า ความเชื่อเหล่านั้นตั้งอยู่บนหลักเหตุผลหรือเปล่า อีกส่วนเป็นเพราะไม่เคยศึกษาข้อธรรมในพระไตรปิฎกว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้อย่างไร ได้แต่ฟังคนโน้นพูดทีคนนี้พูดที พระรูปนั้นบอกอย่างนั้นพระรูปโน้นบอกอย่างนี้ อาจารย์ท่านนั้นสอนอย่างนั้นอาจารย์อีกท่านสอนอย่างนี้
การเชื่อตาม ๆ กันมาอย่างไม่ไตร่ตรองด้วยเหตุผล บวกกับไม่ศึกษาพระไตรปิฎก ทำให้เกิดตรรกะพัง ๆ หรือผิดเพี้ยนขึ้นมาได้มากมายในหมู่ชาวพุทธ บางตรรกะก็ผิดเพี้ยนชนิดหลุดโลกเหนือจินตนาการไปไกล เพราะเป็นการนึกคิดเอาเอง ไม่เชื่อมโยงกับหลักเหตุผล ไม่ยึดโยงกับคำสอนในพระไตรปิฎก
เมื่อมองโลกด้วยตรรกะที่ผิดเพี้ยนเช่นนั้น ก็เหมือนเราสวมแว่นตาที่มีเลนส์ไม่ได้คุณภาพ เราจึงมองเห็นโลกบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง มองลึกเป็นตื้น มองมืดเป็นสว่าง มองสีหนึ่งเป็นอีกสีหนึ่ง
การทำความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนขององค์ตถาคต หากเริ่มต้นด้วยตรรกะที่ผิดเพี้ยนเสียแล้ว ก็มีแต่จะยิ่งผิดเพี้ยนหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อ ๆ ไปก็พากันผิดตามไปทั้งหมด สุดท้ายเราก็อาจกลายเป็นเหยื่อของพวกอลัชชีนอกรีตที่หากินกับผ้าเหลือง หรือเป็นเหยื่อของผู้วิเศษที่อ้างว่าตัวเองติดต่อกับวิญญาณได้บ้าง หยั่งรู้อนาคตบ้าง เปลี่ยนแปลงดวงชะตาได้บ้าง หรือมีคาถาอาคมพิสดารพันลึกบ้าง
เนื้อหาหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจะหยิบยกตัวอย่างตรรกะที่ผิดเพี้ยนของชาวพุทธบางส่วนมาให้เราลองพิจารณากันดู ผู้เขียนจะพยายามอธิบายตามหลักเหตุผลโดยยึดโยงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า หลังจากอ่านหนังสือแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของผู้อ่านที่ต้องพิจารณาเอาเองว่า คำอธิบายของผู้เขียนฟังดูสมเหตุสมผลหรือไม่ หากคิดว่าสมเหตุสมผล ก็อาจลองพิจารณาปรับเปลี่ยนความคิดและความเชื่อบางประการของตัวเองดู แต่หากอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล ไม่น่าเชื่อถือ ก็เป็นสิทธิ์ของคนอ่านแต่ละคนที่จะยังคงเชื่อในแบบที่เคยเชื่อต่อไป
เพราะถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ผู้เขียนพยายามทำก็คือชวนให้เราลองขบคิด ไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงความเชื่อของใคร อย่างน้อยการได้ขบคิดแล้วยังเชื่ออย่างเดิมต่อไป ก็ยังดีกว่าเชื่อเพียงเพราะถูกสอนให้เชื่อโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองก่อน
หรือถ้าสมมุติว่ามีบางคนอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบแล้วคิดไปว่า ผู้เขียนต่างหากที่มีตรรกะพัง ๆ เสียเอง นั่นก็เป็นสิทธิ์ที่แต่ละคนจะคิดได้ แค่ทำให้เราได้ลองฉุกใจคิด ผู้เขียนก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองสำเร็จแล้วในเบื้องต้น
ตัวอย่างหนังสือ